ภาพ ที่ 1: แผนที่ปากีสถาน… พรมแดนด้านตะวันตกติดอาฟกานิสถาน-อิหร่าน, ด้านเหนือติดอาฟกานิสถาน-จีน, ด้านตะวันออกติดอินเดีย (แผนที่นี้แต้มสีภูเขาด้วยสีเขียวเข้ม ที่ราบสูงด้วยสีเขียวปนน้ำตาล ส่วนสีเหลืองใช้สีเหลือง) > Thank [ europe-map.org ]
ปากีสถาน มีพื้นที่ 803,940 ตารางกิโลเมตร = 1.7 เท่าของไทย, ประชากร 105.9 ล้านคน = 1.68 เท่าของไทย [ Wikipedia ] , [ Wikipedia ]
ปากีสถานแยกประเทศจากอินเดีย หลังได้รับเอกราช จากอังกฤษ เนื่องจากคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาต่างกัน คือ คนปากีสถานส่วนใหญ่นับถืออิสลาม คนอินเดียส่วนใหญ่นับถือฮินดู
หลัง จากนั้นก็ไม่ค่อยถูกกัน เนื่องจากปากีสถานมองว่า อินเดียมีส่วนยุยงให้ปากีสถานตะวันออก (บังคลาเทศ) ประกาศแยกตัวจากปากีสถาน (แยกกันเพราะงบประมาณทุ่มไปทางปากีสถานมากกว่าบังคลาเทศ)
ปากีสถานกับ อินเดียเคยทำสงครามแย่งชิงดินแดน แคชเมียร์กัน ขณะที่จีนยึดไปส่วนหนึ่งโดยไม่มีใครกล้าโวย (สมรรถภาพทางทหารต่างกันมาก) ทำให้ทั้ง 2 ประเทศรีบเร่งพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์โดยไม่ค่อยสนใจคนยากคนจนเท่าไหร่ ผล คือ ตาลีบันขยายอิทธิพลเข้าทางด้านตะวันตกของปากีสถาน ส่วนกบฏเหมาก็ขยายอิทธิพลทางตะวันตกของอินเดีย ซึ่งระยะยาวอาจจะมีอิทธิพลได้มากคล้ายๆ กับกบฏเหมาในเนปาล (จีนสนับสนุน)
คนไทยเรา คงจะได้ยินได้ฟังชื่อเมือง “ตักกศิลา (Taxilla)” มาแล้วไม่มากก็น้อย เมืองนี้ตั้งอยู่ในปากีสถาน อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองอิสลามาบัด ห่างกันเพียง 32 กิโลเมตร [ Wikipedia ]
ภาพ ที่ 2: แผนที่ปากีสถานซึ่งทาง BBC ขยายจากมุมบนขวาไปสู่มุมล่างซ้าย เส้นสีน้ำเงินแสดงพื้นที่อิทธิพลของฝ่ายตาลีบัน ซึ่งประกาศใช้กฏหมาย อิสลาม และเน้นการลงโทษข้าราชการที่คดโกง > Thank [ BBC ]
โปรด ลากเส้นจากพื้นที่ที่ใกล้เมืองหลวง ‘Islamabad’ มากที่สุดจะพบว่า ระยะทางน้อยกว่า 100 กิโลเมตรแล้ว
http://health.buddythai.com/archives/371
โครงสร้าง ทางกายภาพ ของมหาวิทยาลัยนาลันทาตั้งแต่ก่อนที่จะเป็นมหาวิทยาลัย จนถึงการรวมสังฆารามหรือวิหาร ๖ แห่งเข้าด้วยกันโดยสร้างกำแพงล้อมให้อยู่ในบริเวณเดียวกัน ถ้ามองจากภาพที่ท่านเฮี่ยนจั๋งบันทึกไว้จะเห็นเป็นรูปร่างดังนี้
พระ เจ้าศักราทิตย์ (พระเจ้ากุมาร คุปตะที่ ๑) ทรงสร้างสังฆารามขึ้นที่สวนมะม่วงที่เคยเป็นปาวาริกัมพวัน จึงเกิดศูนย์การศึกษาพระพุทธศาสนาและศาสตร์อื่นๆ ขึ้นมาอีก สังฆารามนี้จัดเป็นสังฆารามที่ ๑ ในยุคใหม่ ซึ่งต่อมากษัตริย์แห่งราชวงศ์ คุปตะหลายพระองค์ก็ทรงสร้างสังฆารามเพิ่มเติมอีก ๔ แห่งในบริเวณเดียวกันนั้น ดังนี้
* สังฆารามที่ ๒ อยู่ทางทิศใต้ของสังฆารามที่ ๑ พระเจ้าพุทธคุปตะ (พุธคุปตะ) เป็นผู้สร้าง
* สังฆารามที่ ๓ อยู่ทางทิศตะวันออกของสังฆารามที่ ๒ พระเจ้าตถาคต คุปตะเป็นผู้สร้าง
* สังฆารามที่ ๔ อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสังฆารามที่ ๓ พระเจ้าพาลาทิตย์ (คือพระเจ้านรสิงหคุปตะ) เป็นผู้สร้างและยังทรงสร้างวิหาร ๓ชั้นอีก ๑ หลัง
* สังฆารามที่ ๕ อยู่ทางทิศตะวันตกของสังฆารามที่ ๔ พระเจ้าวัชระ (คือพระเจ้ากุมารคุปตะที่ ๒) เป็นผู้สร้าง
ท่านเฮี้ยนจั๋งบันทึกต่อไป ว่ามีกษัตริย์ แห่งอินเดียภาคกลางพระองค์หนึ่งทรงสร้างสังฆารามที่ ๖ ขึ้นทางทิศเหนือของสังฆารามที่ ๕ และทรงสร้างกำแพงสูงล้อมสังฆารามทั้ง ๖ แห่งไว้ภายใน มีประตูใหญ่เข้า-ออก เพียงประตูเดียว(อยู่ทาง ทิศใต้) จึงทำให้เกิดคำเรียกสังฆารามทั้ง ๖ แห่งรวมกันว่า นาลันทามหาวิหาร มาตั้งแต่บัดนั้น (ทั้งหมดนั้นท่านเฮี้ยนจั๋งบันทึกตามจดหมายเหตุเก่าของนาลันทาซึ่ง เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนท่านไปถึงนานพอสมควร) เพื่อให้เข้าใจโครงสร้างดังกล่าวนี้ชัดขึ้น ขอให้พิจารณาข้อสังเกตต่อไปนี้
ข้อสังเกตที่ ๑ ลำดับการสืบราชสันตติ วงศ์
ลำดับการสืบราชสันตติวงศ์นี้ ช่วยให้การศึกษาผู้สร้างสังฆาราม ๕ แห่งของกษัตริย์แห่งราชวงศ์นี้ได้ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับข้อสังเกตต่อไป
ข้อสังเกตที่ ๒ ผู้สร้างสังฆาราม
แต่อุเปนทระ ฐากุร (Late Prof. Upendra Thakur) แย้งว่า ผู้สร้างสังฆารามที่ ๖ ไม่ใช่พระเจ้าหรรษาวรรธนะแน่นอน เพราะท่านเฮี่ยนจั๋งไปอินเดียใน รัชสมัยพระเจ้าหรรษาวรรธนะ (และได้รับพระราชูปถัมภ์จากกษัตริย์พระองค์นี้โดยตลอด จึงไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่ท่านไปอินเดียแน่) อุเปนทระ ฐากุร เสนอว่า ผู้สร้างสังฆารามที่ ๖ และกำแพงสูงล้อมสังฆารามทั้ง ๖ แห่ง คือ พระเจ้ายโศวรมเทวะ (Yasovarmadeva แต่พบที่อื่นใช้ว่า ยโศธรมัน-Yasodharman) แห่งราชวงศ์เมาขรี ผู้ครองมาลวะ (พ.ศ. ๑๐๖๖-๑๐๘๗) เพราะพบศิลาจารึกนาลันทาระบุว่าพระองค์ทรงปกครองอาณาจักรอันกว้างขวางรวมถึง ภาคกลางของอินเดียด้วย๒
อายุกาล ของมหาวิทยาลัยนาลันทาอาจแบ่งอย่างคร่าวๆ ได้ ๓ ช่วง คือ
การล่มสลาย ของนาลันทา ความเลือนหายไปแห่งพระพุทธศาสนาจากอินเดีย
ตำนานทิเบตบอกว่า นาลันทาถูกทำลายหลายครั้งก่อนที่จะล่มสลาย ครั้งที่ ๑ ประมาณ พ.ศ. ๑๑๔๓ หลังจากที่กษัตริย์ กุมารคุปตะที่ ๑ (ศักราทิตย์) สร้างนาลันทา มหาวิหารเสร็จ และกษัตริย์แห่งคุปตะ องค์ต่อมาได้ขยายการก่อสร้างเพิ่มเติม กษัตริย์หูณะชื่อมิหิลรกุละได้ทำลาย แต่นาลันทาก็กลับรุ่งเรืองขึ้นมาอีกในสมัยปาละครั้งที่ ๒ มีหลักฐานปรากฏในงานเขียนชื่อ มัญชุศรีมูลกัลปะว่า กษัตริย์ต่างชาติชื่อ โคมี (Gomi) เข้ามาอินเดียทางแคชเมียร์ ทำลายวัด และฆ่าพระสงฆ์จำนวนมาก นาลันทาถูกทำลายล่มสลายโดยสิ้นเชิงประมาณปี พ.ศ.๑๗๗๗-๑๘๙๙ **
พวกนิยมศาสนารุกรานเข้ามา ไม่ได้ทำลายเฉพาะองค์กรและบุคลากรทางด้านการเมืองและทหารเท่านั้น แต่ทำลายประชาชนและสถาบันศาสนาอื่นๆ ด้วย มีความเข้าใจผิดว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เป็นเพียงผู้บูชารูปปั้น (idolater-ผู้บูชารูป วัตถุด้วยความหลงใหล)*** จึงถูกฆ่าอย่างทารุณ เจดีย์ วิหาร มหาวิทยาลัย และ โรงเรียน ทั้งหมดถูกเผาทำลาย เฉพาะที่นาลันทา การเผาทำลายห้องสมุดดำเนินต่อเนื่องไปเป็นเวลาหลายเดือน มินหซัด (Minhazad) นักประวัติศาสตร์มุสลิม บันทึกไว้ในหนังสือ ตวกตะ(Tavakata) ว่า
http://www.mcu.ac.th/site/wangnoi/index.php?page=27
No comments:
Post a Comment